วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ทัศนะสันติภาพของอิสลาม ต่อสถานการณ์ภาคใต้


ปัญหา3จังหวัดชายแดนใต้.

โดย มุสลิม ไทยแลนด์ เมื่อ 30 กันยายน 2012 เวลา 15:38 น. ·

. بِسْمِ اللهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيْمِ   

 เนื่องจากปัญหาความไม่สงบใน3จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นปัญหาที่ทั้งมุสลิมและไม่ใช่มุสลิมให้ความสนใจเป็นวงกว้าง เมื่อเกิดปัญหาขึ้นกระแสเสียงวิภาควิจารณ์ ก็เกิดขึ้นอย่างมากมาย และทุกกระแสเสียงนั้นก็พุ่งเป้ามาที่มุสลิม บางคนที่หัวใจไม่เป็นธรรมก็รุมชี้มาที่อิสลาม ซึ่งจะเห็นได้จากแวดวงอินเตอร์เนต หรือโซเชียลเน็ตเวิร์ค
ปัญหา3จังหวัดชายแดนใต้เป็นปัญหาที่กินแหนงแคลงใจผู้ที่มีอคิติกับอิสลาม หลายคนตำหนิวิภาควิจารย์ว่าเป็นข้อบัญญัติจากศาสนา บางคนวิภาควิจารย์หยามเหยียด อัลลอฮฺ ผู้เป็นเจ้า หรือหมิ่นประณามท่านนบี มูฮัมหมัด ศล.ก็มีให้เห็นเป็นวงกว้าง
ภาพลบของปัญหา3จังหวัดชายแดนใต้ลุกลามไปจนถึงขั้นบางจังหวัด ห้ามไม่ให้สร้างมัสยิตเพราะกลัวปัญหาจะเกิดขึ้นในพื้นที่ของตัวเอง อย่างเช่น ปัญหาการประท้วงสร้างมัสยิตที่เชียงราย
อย่างที่ทราบไป กระผม มุสลิม ไทยแลนด์ จึงขอชี้แจงว่าปัญหา3จังหวัดชายแดนใต้ มุสลิม และ อิสลามมีทรรศนะยังไงกับปัญหานี้ การหลั่งเลือด หรือสงคราม จะเห็นได้ว่าในสมัยของท่านนบี มูฮัมหมัด ศล. นั้น
เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ต้องสู้รบกันนั้น ก็จะมีการกระทำกันนอกเมือง และสามารถพิสูจน์ได้ด้วยกับหลายๆครั้งที่นบีออกสงครามท่านจะสั่งให้มีศอฮาบะฮฺ บางคนดูแลและประจำการนครมาดีนะฮฺ บ่อยครั้งที่ท่านกำชับให้ท่านอับดุลลอฮฺ อิบนิ มักตูม ประจำการณ์ จนถึงคราวสงครามตะบู๊ก ในช่วงท้ายๆชีวิตท่านนบีนั้น ท่านได้แต่งตั้งท่านอาลี อิบนิ อบีฎอลิบดังที่ปรากฏในฮาดิษ มันซีละฮฺ ความว่า

 عَنْ سَعْدِ بْنِ أَبِي وَقَّاصٍ قَالَ خَلَّفَ رَسُوْلُ اللهِ بِمَنْزِلَةِ      هَارُوْنَ مِنْ مُوْسَى غَيْرَ أَنَّهُ لاَ نَبِيَّ بَعْدِي                                                                  صَلى اللهُ عَليْهِ وَسَلَّمَ عَلِيَّ بْنَ أَبِيْ طَالِبٍ فِي غَزْوَةِ  تَبُوْكَ فَقَالَ يَا رَسُوْلَ اللهِ تُخَلِّفُنِي فِي النِسَاءِ وَالصِبْيَانِ فَقَالَ أَمَا تَرْضَى أَنْ تَكُوْنَ مِنِّي          

     ซะอด์ อิบนิอบีวักกอส รายงานว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้ตั้งให้ท่านอาลี อิบนิอบีตอลิบ ดูแลบรรดาสตรีกับเด็กๆ ในสงครามตะบู๊ก เขากล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ท่านจะแต่งตั้งฉันดูแลบรรดาสตรีกับเด็กๆ อย่างนั้นหรือ ท่านตอบว่า เจ้าไม่พอใจหรือที่ฉันกับเจ้ามีสถานะดั่งมูซากับอารูณ นอกจากว่าไม่มีนบีหลังจากฉันเท่านั้นบันทึกโดยอิหม่ามมุสลิม ฮะดีษเลขที่ 4419
และท่านยังได้ห้ามมิให้คดโกงหรือผิดสัญญา  ห้ามฆ่าสตรี  เด็ก  คนชรา  นักพรตนักบวช  ตราบใดที่พวกเขาไม่มีส่วนในการต่อสู้
จงยาตราทัพไปในพระนามของอัลลอฮ ด้วยอุปการะคุณแห่งพระองค์ และด้วยความเห็นชอบของศาสนฑูตของพระองค์ จงอย่าได้ฆ่าคนชรา เด็ก ทารก และผู้หญิงเป็นอันขาด อย่าทำเกินเหตุ และจงเก็บรักษาทรัพย์เชลยไว้กับพวกท่านให้เรียบร้อย จงทำแต่สิ่งที่ถูกต้องและทำแต่ความดี  แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักบรรดาผู้ทำความดีเสมอ

 การหลั่งเลือดมุสลิม เมื่อเราดูเหตุการณ์ข่าวสารที่เกิดขึ้นก็จะเห็นว่าผู้ที่เสียชีวิตมีทั้งมุสลิม และผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม  ผมขอชี้แจงเป็นประเด็นเริ่มจากการหลั่งเลือดและทรัพย์สิน ของมุสลิมก่อน ท่านนบีมูฮัมหมัด ศล. ได้เคยประกาศก้องทุ่งอารอฟะฮฺ ในฮัจย์วะดาอฺ ใจความว่า

أَيُهَا النَّاس، إنّ دِمَاءَكُمْ وَأمْوَالَكُمْ وأعراضكم حَرَامٌ عَليكُمْ إلى أنْ تَلْقَوْا رَبَّكُمْ، كَحُرمَةِ يَوْمِكُمْ هَذَا في شَهْرِ كُمْ هَذَا في بَلَدِكُم هَذَا، أَلاَ هَلْ بَلَّغتُ، اللّهُمّ اشْهَدْ. فَمَنْ كَانَتْ عِنْدَهُ أَمَانةٌ فليؤُدِّها إلى مَنْ ائْتمَنَهُ عَلَيها

ความว่า " โอ้มนุษย์ทั้งหลายแท้จริงชีวิต ทรัพย์สิน และเกียรติของพวกท่านเป็นที่ต้องห้าม   ตราบจนถึงวันที่พวกท่านจะพบกับอัลลอฮฺ (ในวันอาคีเราะฮฺ) เฉกเช่นเดียวกัน วันนี้ เดือนนี้ และเมืองนี้ก็เป็นที่ต้องห้าม โอ้อัลลอฮฺได้โปรดเป็นพยานด้วย ฉันได้แจ้งให้พวกเขารู้แล้ว และผู้ใดก็ตามที่ได้รับอะมานะฮฺเพื่อมอบคืนทรัพย์สิน ก็จงส่งมอบคืนให้แก่เจ้าของ(ผู้ที่มอบอะมานะฮฺ)ด้วย"

 นั่นหมายความว่าชีวิตและทรัพย์สิน ของมุสลิมนั้นเป็นที่ต้องห้ามมิบังควรละเมิดโดยเด็ดขาด เราจะเห็นได้ว่าในยามที่นบีมูฮัมหมัด ศล.ประกาศอัลอิสลามนั้น ฉะนั้นใครก็ตามที่ได้ละเมิดสิทธิ์ของมุสลิม ไม่ว่าจะเป็นเลือดหรือทรัพย์สินนั้น เค้าเป็นผู้ที่ได้หันหน้าออกจากแนวทางของท่านนบี และหันหลังให้กับคำสอนของศาสนาแล้ว

 ชีวิตของผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม เราจะเห็นได้ว่าตลอดระยะเวลา23ปีที่ท่านนบีมูฮัมหมัด ศล.นั้น ได้ประกาศอัลอิสลาม ท่านไม่ได้บังคับ ขู่เข็ญใครให้เข้ารับอิสลาม แบบกำปั้นทุบดิน และจะเห็นได้ว่า ท่านได้มีการเชื่อมโยง หรือมีการติดต่อ หรืออยู่ร่วมเมืองกับบรรดาผู้ปฎิเสธศรัทธาทั้งหลาย ดังที่ปรากฏในรายงานของท่านหญิงอาอีชะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮาว่า 

     اشْتَرَى رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مِنْ يَهُودِيٍّ طَعَامًا بِنَسِيئَةٍ وَرَهَنَهُ دِرْعَهُ 

 ความว่า ท่านรอสูลุลลอฮฺ  ได้ซื้ออาหารจากชาวยิวโดยการใช้เครดิตแล้วเอาเสื้อเกราะประกันไว้” (บันทึกโดยอัลบุคอรี หมายเลข 1990, และมุสลิม หมายเลข 1603) และปรากฏว่าท่านนบีเคยทำธุรกรรมและข้อตกลงค้าขายกับคนต่างศาสนา  จากท่านอับดุลลอฮฺ อิบนิ อุมัร เราะฏิยัลลอฮฺ อันฮุมา กล่าวว่า

أَعْطَى رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ خَيْبَرَ الْيَهُودَ أَنْ يَعْمَلُوهَا وَيَزْرَعُوهَا وَلَهُمْ شَطْرُ مَا يَخْرُجُ مِنْهَا.

ความว่า ท่านรอสูลุลลอฮฺ  ให้ชาวยิวทำการเพาะปลูกในแผ่นดินคอยบัร  โดยการแบ่งปันผลผลิตที่ได้จากการเพาะปลูก  (บันทึกโดย อัลบุคอรี หมายเลข 2165, และมุสลิม หมายเลข 1551) นั่นหมายความว่าท่านนบีก็ได้อาศัย อยู่ และมีปฎิสัมพันธ์กับคนที่ไม่ได้นับถืออิสลามโดยที่ไม่ได้ข่มขู่หรือข่มเหงพวกเข้าเลย การกำหนดข้อแบ่งระหว่างผู้ปฎิเสธ ดังที่ได้กล่าวไว้ในหัวข้อที่แล้ว แล้วผู้ปฎิเสธแบบไหนที่เราสามารถคบหาได้ และ คบหาไม่ได้ เราจะพบข้อกำหนดนี้ในฮาดิษบทหนึงซึ่ง ท่านอัสมาอฺ บินติ อบีบักร ได้ถามท่านรอซูล ศล. ถึงกรณีที่แม่(ที่ไม่ใช่มุสลิมได้มาเยี่ยมนาง ซึ่งอัลลอฮฺ ได้ลงโองการในใจความว่า

لَا يَنْهَاكُمُ اللَّهُ عَنِ الَّذِينَ لَمْ يُقَاتِلُوكُمْ فِي الدِّينِ وَلَمْ يُخْرِجُوكُم مِّن دِيَارِكُمْ أَن تَبَرُّوهُمْ وَتُقْسِطُوا إِلَيْهِمْ إِنَّ اللَّهَ يُحِبُّ الْمُقْسِطِينَ

อัลลอฮฺมิได้ทรงห้ามพวกเจ้าเกี่ยวกับบรรดาผู้ที่มิได้ต่อต้านพวกเจ้าในเรื่องศาสนาและพวกเขามิได้ขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้าในการที่พวกเจ้าจะทำความดีแก่พวกเขา และให้ความยุติธรรมแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักผู้มีความยุติธรรม الممتحنة :8

 นั่นหมายความว่า อัลลอฮฺไม่ได้ห้ามที่เราจะทำดีและให้ความยุติธรรม ซึ่งถ้าพวกเค้าไม่ได้ ข่มเหงมุสลิม และสามารถอยู่ร่วมพื้นที่เดียวกันได้ตามเงื่อนไขที่อัลลอฮฺ ได้ทรงตรัสไว้ในอายะฮฺนี้ และได้ระบุไว้ด้วยว่า

«فَإِن جَآؤُوكَ فَاحْكُم بَيْنَهُم أَوْ أَعْرِضْ عَنْهُمْ وَإِن تُعْرِضْ عَنْهُمْ فَلَن يَضُرُّوكَ شَيْئاً وَإِنْ حَكَمْتَ فَاحْكُم بَيْنَهُمْ بِالْقِسْطِ إِنَّ اللّهَ يُحِبُّ الْمُقْسِطِينَ»

 ความว่า  ถ้าหากพวกเขามาหาเจ้า ก็จงตัดสินระหว่างพวกเขา หรือไม่ก็หลีกเลี่ยงพวกเขาเสียและถ้าหากเจ้าหลีกเลี่ยงพวกเขา พวกเขาก็จะไม่ให้โทษแก่เจ้าได้แต่อย่างใดเลย และหากเจ้าตัดสินก็จงตัดสินระหว่างพวกเขาด้วยความยุติธรรม แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักบรรดาผู้ที่มีความยุติธรรม  (อัลมาอิดะฮฺ / 42) นั่นหมายความว่าไม่ว่าพวกเค้าจะขัดแย้งกันเอง หรือแม้แต่กับมุสลิม ก็ให้ความเป็นธรรมกับพวกเขาด้วย
และกาฟิรแบบไหนที่เราไม่สามารถคบหาได้ล่ะ ก็ปรากฏในอัลกุรอาน ใจความว่า

‏ انما ينهاكم الله عن الذين قاتلوكم في الدين

واخرجوكم من دياركم وظاهروا علىاخراجكم ان تولوهم ومن يتولهم فاولئك هم الظالمون  

แต่ว่าอัลลอฮทรงห้ามพวกเจ้าเกี่ยวกับบรรดาผู้ที่ต่อต้านพวกเจ้าในเรื่องศาสนาและขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้า และช่วยเหลือให้ขับไล่พวกเจ้าในการที่พวกเจ้าจะผูกมิตรกับพวกเขาและผู้ใดผูกมิตรกับพวกเขา ชนเหล่านั้นพวกเขาเป็นผู้อธรรม

อัลมุมตะฮินะฮฺ อายะฮฺที่9 นั่นหมายความว่ากาเฟรนั้น ก็ได้รับการแบ่งจำพวกว่าพวกไหนที่คบหาได้ หรือคบหาไม่ได้ นั่นไม่ได้เหมารวมว่ากาเฟรมีประเภทเดียว และเป็นศรัตรูไปซะทั้งหมด กรณีการล้มล้างสิทธิ์ของบุคคลหนึ่งๆ ปัญหาชายแดนใต้ยังคงเป็นที่น่าสนใจ สำหรับผู้คนและยังเป็นประเด็ที่มุสลิมโดนโจมตีอยู่อย่างต่อเนื่อง ในเมื่อเราอยู่ภายใต้รัฐที่ไม่ใช่รัฐอิสลาม ซึ่งเนื้อหาด้านบน ได้ระบุถึงการห้ามการหลั่งเลือดมุสลิม และได้ให้ความเป็นธรรมกับผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม(ในกรณีที่เค้าไม่ได้ข่มเหงหรือเป็นศรัตรูกับมุสลิม)นั้น เราควรปฎิบัติตัวเช่นไร? ท่านชัยคฺอับดุลอะซีส บินอับดุลเลาะฮฺ บินบาซ ได้ตอบคำถามในเรื่องนี้ไว้ว่า

القاعدة الشرعية المجمع عليها : ( أنه لا يجوز إزالة الشر بما هو أشر منه ، بل يجب درء الشر بما يزيله أو يخففه ) . أما درء الشر بشرٍ أكثر فلا يجوز بإجماع المسلمين ، فإذا كانت هذه الطائفة التي تريد إزالة هذا السلطان الذي فعل كفراً بواحاً عندها قدرة تزيله بها ، وتضع إماماً صالحاً طيباً من دون أن يترتب على هذا فساد كبير على المسلمين ، وشر أعظم من شر هذا السلطان فلا بأس ، أما إذا كان الخروج يترتب عليه فساد كبير ، واختلال الأمن ، وظلم الناس واغتيال من لا يستحق الاغتيال ... إلى غير هذا من الفساد العظيم ، فهذا لا يجوز ، بل يجب الصبر والسمع والطاعة في المعروف ، ومناصحة ولاة الأمور ، والدعوة لهم بالخير ، والاجتهاد في تخفيف الشر وتقليله وتكثير الخير . هذا هو الطريق السوي الذي يجب أن يسلك ؛ لأن في ذلك مصالح للمسلمين عامة ، ولأن في ذلك تقليل الشر وتكثير الخير ، ولأن في ذلك حفظ الأمن وسلامة المسلمين من شر أكثر                                                 

รากฐานอันครอบคลุมทั้งหมดของชะรีอะฮฺก็คือว่าไม่เป็นที่อนุญาตที่จะเปลี่ยนแปลงความชั่วร้ายด้วยกับความชั่วร้ายที่ยิ่งใหญ่กว่า แท้จริงแล้วความชั่วจะต้องถูกทำลายลงด้วยกับการกำจัดมัน(อย่างสิ้นซาก)หรือด้วยกับการลดระดับของมันลง การทำลายความชั่วด้วยการนำความชั่วที่ใหญ่กว่าเข้าแทนที่ย่อมเป็นที่ต้องห้ามตามมติเอกฉันท์ของปวงนักปราชญ์

หากว่ากลุ่มนี้ที่ต้องการรัฐประหารผู้ปกครองนี้โดยปรากฏว่าผู้ปกครองดังกล่าวได้เปิดเผยอย่างชัดเจนถึงการล่วงล้ำเข้าสู่การปฏิเสธ(กุฟรฺ)ก็ถือว่าเป็นที่อนุญาตและยังสามารถที่จะนำเอาผู้นำใหม่ที่ดีและมีศีลธรรมเข้าแทนที่โดยปราศจากการนำพาไปสู่ความวุ่นวายที่ใหญ่หลวงกว่าแก่มวลมุสลิมหรือปราศจากซึ่งความชั่วร้ายที่ใหญ่หลวงกว่าผู้ปกครองเช่นนี้

ดังนั้นมันก็เป็นที่อนุมัติแต่ทว่าหากการต่อต้านผู้นำจะนำพาไปสู่ความชั่วร้ายที่ใหญ่กว่าและนำพาไปสู่ความเสียหาย,การกดขี่,และการฆ่าล้างประชาชนที่ไม่สมควรจะได้รับการเข่นฆ่าเลยและรวมถึงรูปแบบการต่อสู้อื่นๆที่ชั่วร้ายอย่างใหญ่หลวง

ดังนั้นก็ไม่เป็นที่อนุญาตในการทำเช่นนั้น หนำซ้ำมันเป็นความจำเป็นที่จะต้องอดทนและเชื่อฟังภักดีต่อผู้ปกครองในเรื่องที่เป็นความดีงามและให้คำชี้นำอย่างจริงใจต่อผู้มีอำนาจ และทำการดุอาอ์เพื่อว่าพวกเขาจะได้รับทางนำสู่ความดีและรวมถึงการต่อสู้เพื่อลดระดับความชั่วร้ายและเพิ่มระดับของความดี นี่คือหนทางที่ถูกต้องซึ่งจำต้องถูกปฏิบัติตามเพราะทั้งหมดนั่นคือผลประโยชน์โดยทั่วไปสำหรับมวลมุสลิมและด้วยเหตุที่ว่ามันจะลดระดับความชั่วร้ายและเพิ่มระดับความดีและด้วยเหตุที่ว่าวิธีนี้จะนำพาซึ่งสันติภาพและปกป้องมวลมุสลิมจากความเสียหายอันใหญ่หลวง
 มัจมูอ์ฟะตาวาย์ฯ. เล่ม 8 หน้า 202.

และได้ปรากฎรูปแบบคำสั่งใช้จากท่านศาสดา ให้เราได้ชีแจงกับรัฐที่ไม่ใช่อิสลาม ด้ยกับ คำแนะนำไม่ใช่การต่อต้านหรือทำสงคราม
مَنْ أَرَادَ أَنْ يَنْصَحَ لِذِي سُلْطَانٍ , فَلا يُبْدِهِ لَهُ عَلانِيَةً ، وَلَكِنْ لِيَأْخُذْ بِيَدِهِ فَيَخْلُو بِهِ , فَإِنْ قَبِلَ مِنْهُ فَذَاكَ , وَإِلا فَقَدْ أَدَّى الَّذِي عَلَيْهِ                
ผู้ใดประสงค์ที่จะชี้แนะผู้ปกครอง (ด้วยกับคำสั่งใช้) ดังนั้นเขาก็จงชี้แนะแก่เขาอย่างลับๆไม่เปิดเผยด้วยการจูงมือเขาไปในที่ลับตา (พร้อมกับชี้แนะแก่เขา) ดังนั้นหากผู้ปกครองยอมรับคำแนะนำจากเขา (ก็ให้ดำเนินการตามคำแนะนำ) และถ้าหากว่าไม่ก็ถือว่าเขาได้ทำหน้าที่อันมีอยู่บนตัวเขาแล้ว สิลาลอัลญันนะฮฺฟีตัครีจอัซซุนนะฮฺลิบนิอะบีอาศิม. ม.ป.ท: มักตะบะฮฺอัลอิสลามีย์. หะดีษเศาะฮีฮฺ หมายเลขที่ 1097.

 ซึ่งจากที่อ้างอิงมาทั้งหมดนั้น จะเห็นได้ว่า อิสลามนั้นไม่สนับสนุนให้เราข่มเหงหรือรังแก ทั้งผู้ที่เป็นมุสลิม และไม่ใช่มุสลิม จึงขอชี้แจงด้วยว่าบทบัญญัติศาสนาไม่ได้สนับสนุนหรือเห็นด้วย กับการกระทำที่เกิดขึ้นใน3จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในเมื่อบทบัญญัติศาสนาไม่สนับสนุนให้กระทำ นั่นก็เป็นไปไม่ได้ว่ามุสลิมจะเป็นผู้ที่กระทำการเยี่ยงนี้ เพราะถ้าผู้ใดทำเท่ากับเขาได้หันหอกจากคำสั่งใช้และคำสั่งห้ามของอัลลอฮฺ ซุบฮาน่าฮูว่าตาอาลา และท่านนบี มูฮัมหมัด ศล. แล้ว

                                                                                                     والسلام                                                                                        
                                                                                                    มุสลิม   ไทยแลนด์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น