เรื่องราวของศาสนาอิสลามในมณฑลกานซู
มณฑลกานซู
เป็นมณฑลที่ตั้งอยู่ตอนบนของที่ราบลุ่มแม่น้ำฮวงโห มีเมืองหลานโจวเป็นนครรัฐ
ตั้งอยู่บนทำเลทองของเส้นทางสายไหมในอดีต เป็นมณฑลที่มีที่ราบสูงต่างๆ ห้อมล้อม
มีเนื้อทั้งหมด 453,700 ตารางกิโลเมตร คิดเป็น 4.72% ของพื้นที่ทั้งหมดของประเทศจีน
มีประชากรทั้งหมด 26 ล้านคน ประกอบด้วยกลุ่มชนชาติต่างๆ เช่น ชาวฮั่น ชาวหุย
ชาวทิเบต ชาวตงเซียง ชาวป่าอัน ชาวมองโกล ชาวคาซัส ชาวซาลา
ชาวยวี่กู่และชาวแมนจูเป็นต้น
ซึ่งชาวตงเซียง ชาวยวี่กู่ และชาวเป่าอัน
เป็นชนชาติที่มีเฉพาะในมณฑลดังกล่าว
มณฑลกานซูเป็นมณฑลที่มีเทือกเขาจากแนวตะวันตกเฉียงเหนือถึงตะวันออกเฉียงใต้
บริเวณนี้จึงกลายเป็นทรัพยากรทางด้านป่าไม้ที่มีความสำคัญ
นอกจากนั้นแล้วยังประกอบด้วยที่ราบ ที่ราบลุ่ม ทะเลทราย
จึงทำให้สภาพภูมิอากาศมีลักษณะร้อนชื้น หนาวจัดและแห้ง อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่
0 - 14 องศาเซลเซียส อุณหภูมิจะค่อยๆ
ลดลงจากจากตะวันออกเฉียงใต้ถึงตะวันตกเฉียงเหนือ
แม้ว่าสภาพอากาศจะแห้ง
แต่ก็สามารถใช้ประโยชน์จากพลังงานแสงอาทิตย์ในด้านต่างๆ ได้อย่างเต็มที่
เช่นการใช้ประโยชน์ในด้านการก่อสร้าง การเกษตร เป็นต้น ผลผลิตทางด้านเกษตร
บางชนิดเช่นข้าวโพด มันฝรั่ง
ข้าวฟ่างของมณฑลดังกล่าวจึงขึ้นชื่อและมีความหลายหลายมาก
นอกจากนั้นแล้วยังเป็นแหล่งปศุสัตว์ อุตสาหกรรมหนัก อุตสาหกรรมเบา
โลหะนอกกลุ่มเหล็ก พลังงานและวัสดุก่อสร้างที่สำคัญของประเทศจีนอีกด้วย
มณฑลกานซูมีมุสลิมทั้งหมด 1 ล้าน 6 แสนกว่าคน มีมัสยิด 3,731 แห่ง
และได้แบ่งออกเป็นสำนักต่างๆ เช่น zheherenye, hufuye, kuburenye เป็นต้น
มีพุทธศาสนิกชนราว 8 แสนคน โดยแบ่งออกเป็นพุทธนิกายลามะ 4 แสน 5 หมื่นคน พุทธมหายาน 3
แสน 5 หมื่นคน มีวัดทั้งหมด 682 แห่ง มีผู้ที่นับถือศาสนาเต๋าทั้งหมด 2 แสนกว่าคน
เต๋าก้วนทั้งหมด 212 แห่ง และมี ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ทั้งหมด 9 หมื่นคน
โบสถ์คริสต์ทั้งหมด 387 แห่ง
มณฑลกานซูยังคงเป็นแหล่งกำเนิดวัฒนธรรมที่สำคัญของวัฒนธรรมจีน
เป็นแหล่งกำเนิดพระเจ้าฝูซีซื่อในประวัติศาสตร์จีน
ในมณฑลดังกล่าวมีเมืองโบราณที่มีความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม 3 แห่ง
หน่วยงานอนุรักษ์มรดกทางด้านวัฒนธรรมโบราณระดับชาติ 14 แห่ง
หน่วยงานอนุรักษ์มรดกทางด้านวัฒนธรรมโบราณระดับมณฑล 433 แห่ง
เขตอนุรักษ์พืชพันธ์สัตว์และทัศนียภาพทั้งหมด 26 แห่ง
ศาสนาอิสลามเผยแพร่เข้าสู่แผ่นดินมังกรสมัยราชวงค์ถังของจีน ราว ค.ศ.651
แต่ศาสนาอิสลามเข้าสู่มณฑลกานซูเมื่อเวลาใดนั้นไม่มี
ลายลักษณ์อักษรที่ระบุอย่างชัดเจน ที่สำคัญคือ
มณฑลกานซูนั้นเป็นช่วงที่สำคัญของเส้นทางสายไหมในอดีต
โดยเฉพาะบริเวณเหอซีหรือเมืองหลินเซี่ยในปัจจุบัน
เป็นจุดแวะพักที่สำคัญของการเดินทางในเส้นทางดังกล่าว แม้ว่า
เป้าหมายของชาวเปอร์เซียที่เข้ามาในสมัยนั้นคือเมืองฉางอัน
แต่ก็มีชาวเปอร์เซียจำนวนไม่น้อยที่ตกค้างอยู่บริเวณดังกล่าว ในสมัยราชวงค์ซ่ง
(ค.ศ.970 - 1279)
เนื่องด้วยเส้นทางสายไหมทางตอนเหนือขาด
จึงทำให้ชาวเปอร์เซียไปค้าขายเส้นทางสายไหมทางตอนใต้ คือบริเวณเมืองหลานโจว
เมืองเหอม่าน เมืองต้าซุ่ยของมณฑลกานซูจึงกลายเป็นแหล่งค้าขายที่สำคัญ
มุสลิมในช่วงดังกล่าวส่วนมากจะเป็นพ่อค้า และมีจำนวนไม่มาก
พอสมัยราชวงค์หยวน (ค.ศ.
1206 - 1368 ) มุสลิมในตะวันออกกลาง หลั่งไหลมาทางจีนมากขึ้น
จนมีสโลแกนที่พูดกันติดปากว่า “ชาวหุยสมัยหยวนนั้นกระจายอยู่ทุกแห่ง
กานซูเยอะที่สุด” ในสมัยนี้มุสลิมในมณฑลดังกล่าวก่อตัวเป็นชุมชนในเมืองต่างๆ
เป็นของตัวเอง จะเห็นได้ว่ามุสลิมที่อยู่ในมณฑลกานซูนั้น
เป็นกลุ่มพ่อค้าที่มาค้าขายในประเทศจีน ไม่ใช่กลุ่มที่มุ่งมาเผยแพร่ศาสนา
ในการก่อสร้างมัสยิดนั้นก็มีวัตถุประสงค์คือเป็นที่ปฏิบัติศาสนกิจ
ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อเผยแพร่ศาสนา ในช่วงปลายราชวงค์หมิงและต้นราชวงค์
ชิง
กลุ่มต่างๆ ของลัทธิซูฟีย์ ได้แตกแยกออกเป็นสาขาต่างๆ
สาขาเหล่านี้ได้มีการเผยแพร่ให้กับชาวบ้านที่ศรัทธา เนื่องจากการเน้นหนัก
ในด้านต่างๆ ที่แตกต่างกัน จึงทำให้เกิดความ ขัดแย้งกันในบางเรื่อง
ในสมัยสังคมศักดินาได้ใช้ จุดอ่อนดังกล่าว ในการทำให้เกิดความแตกแยก
ขาดความสามัคคีกันในกลุ่ม
และได้สร้างความเข้มแข็งในด้านการปกครองจากจุดอ่อนดังกล่าวเช่นกัน
หลังจากที่ลัทธิซูฟีย์เข้าสู่ประเทศจีน ได้แยกออกเป็นกลุ่มย่อยต่างๆ กว่า 40
กว่ากลุ่ม ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ยังจัดอยู่ในกลุ่มของนิกายซุนนี่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น